การเก็บรักษาอาหารอย่างถูกวิธีไม่ได้เป็นเพียงการยืดอายุวัตถุดิบและอาหารปรุงสุกเท่านั้น แต่ยังเป็นเกราะป้องกันสำคัญจากโรคอาหารเป็นพิษ (Food Poisoning) และการติดเชื้อจากอาหาร (Food Infection) ที่อันตรายกว่าที่คิด เชื้อโรค (pathogens) บางชนิดเป็นภัยเงียบที่มักไม่แสดงอาการเตือนใด ๆ ว่าอาหารเสียแล้ว เช่น ไม่มีสี ไม่ส่งกลิ่นเน่าบูด ไม่มีเมือกหรือฟองให้เห็น ทำให้ไม่รู้ว่าอาหารเน่าเสียแล้ว และที่น่ากังวลไปกว่านั้นคือ พิษและเชื้อบางตัวยังสามารถทนความร้อนได้อีกด้วย ไม่ว่าจะนำไปปรุงสุกหรืออุ่นซ้ำก็ไม่สามารถกำจัดได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุของอาการท้องเสียหรืออาหารเป็นพิษโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว
นอกจากเรื่องความปลอดภัยแล้ว การรู้ว่าอาหารที่เก็บได้นานแค่ไหนยังช่วยให้เราบริโภคอาหารที่สดใหม่และปลอดภัยอยู่เสมอ และที่สำคัญคือ ช่วยลดปริมาณขยะอาหาร (Food Waste) รักษ์โลก และ ประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ได้อีกด้วย
บทความนี้จะพาไปเจาะลึกการใช้ความเย็นในการเก็บรักษาอาหารสด และอาหารปรุงสุก และแชร์เคล็ดลับ Tips & Tricks ง่าย ๆ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยืดอายุอาหารด้วยความเย็น
สารบัญบทความ
- ไขข้อข้องใจ: ทำไมข้อมูลการเก็บอาหารในตู้เย็นถึงไม่ตรงกัน?
- เทคนิคการเก็บผักผลไม้ เนื้อสัตว์ และอาหารเเห้งให้คงคุณภาพและปลอดภัย
- อาหารปรุงสำเร็จ วิธีการเก็บรักษาอย่างปลอดภัย
- หลักการเก็บอาหารในตู้เย็นให้มีประสิทธิภาพ
- การเก็บรักษาอาหาร ช่วยทำให้อาหารสดใหม่และปลอดภัย
ไขข้อข้องใจ: ทำไมข้อมูลการเก็บอาหารในตู้เย็นถึงไม่ตรงกัน?
การเก็บอาหารในตู้เย็น ไม่ว่าจะเป็นการแช่เย็นหรือแช่แข็ง ช่วยชะลอการเน่าเสียของอาหารจากการเติบโตของจุลินทรีย์ส่วนใหญ่ (ยกเว้นจุลินทรีย์บางชนิดที่ชอบความเย็น อย่าง Psychrotrophs อ่านว่า ไซโครโทรป) และลดปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ ที่ทำให้อาหารเน่าเสียได้
อย่างไรก็ตาม หลายคนมักจะสับสนกับคำแนะนำเรื่องระยะเวลาการเก็บรักษาอาหาร เพราะข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งจากโซเชียลมีเดียทั่วไป หรือแม้กระทั่งจากเอกสารอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ มักจะแตกต่างกันมาก นั่นเป็นเพราะการเสื่อมคุณภาพของอาหารนั้นซับซ้อน ทำให้ระยะเวลาการเก็บรักษาในตู้เย็นของอาหารแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยสำคัญ:
- วัตถุดิบที่ควรนำมาแปรรูปต้องมีลักษณะอย่างไร: ปริมาณจุลินทรีย์ตั้งต้นในอาหารมีความสำคัญมาก หากวัตถุดิบอาหารสดใหม่ สะอาด หรือผ่านการลดเชื้อมาอย่างดี ก็จะมีอายุการเก็บยาวนานกว่า เช่น ขนมตะโก้เผือก ถ้าใช้กะทิสดจากตลาด ที่มีเชื้อตั้งต้นสูง (จุลินทรีย์ > 1000 CFU/g) ก็จะมีอายุการเก็บสั้นกว่า ตะโก้เผือกที่ทำจากกะทิกล่อง UHT ที่ผ่านการฆ่าเชื้อระดับสเตอริไรซ์ (จุลินทรีย์ 0 CFU/g) มาแล้ว
- การปรุงอาหารแบบต่าง ๆ: วิธีการปรุงอาหารด้วยความร้อน ไม่ว่าจะเป็นการทอด ต้ม นึ่ง อบ หรือย่าง ล้วนส่งผลโดยตรงต่อการทำลายจุลินทรีย์และเอนไซม์ที่ทำให้อาหารเสียไม่เท่ากัน การให้ความร้อนโดยใช้อุณหภูมิที่เหมาะสมและทั่วถึง (โดยเฉพาะจุดที่ร้อนช้าที่สุด) สามารถช่วยยืดอายุอาหารปรุงสุกได้นานยิ่งขึ้น
- การจัดการการปนเปื้อนข้าม (Cross-Contamination): การล้างมือและอุปกรณ์ให้สะอาด การแยกอุปกรณ์ที่ใช้กับวัตถุดิบสดออกจากอุปกรณ์ที่ใช้กับอาหารปรุงสุกพร้อมรับประทานก็จะช่วยให้อาหารเก็บได้นานกว่าที่ระบุในคู่มือหรือเอกสารอ้างอิง
- อุณหภูมิที่จัดเก็บ: โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งอุณหภูมิในตู้เย็นต่ำลงเท่าไหร่ อาหารก็จะยิ่งเก็บได้นานขึ้นเท่านั้น เนื่องจากอัตราการเกิดปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ จะลดลงเมื่ออุณหภูมิลดลง อย่างไรก็ตามผักผลไม้สดบางชนิดอาจเกิดอาการเสียหายจากความเย็นจัด หรือ chilling injury (เช่น อาการเนื้อช้ำหรือฉ่ำน้ำ เปลือก/เนื้อเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เนื้อสัมผัสเปลี่ยนไป สุกช้าหรือไม่สุกอีกเลย) ได้ที่อุณหภูมิต่ำเกินไป
- วิธีการจัดเก็บ: อุณหภูมิที่เย็นทั่วถึงและสม่ำเสมอของตู้เย็นเป็นหัวใจสำคัญในการยืดอายุอาหารด้วยความเย็น นอกจากนี้ความสะอาดของตู้เย็นรวมถึงการใช้ภาชนะที่ปิดสนิทจะช่วยป้องกันการปนเปื้อนข้ามและรักษาคุณภาพอาหารได้นานขึ้น
การใส่ใจกับปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้การเก็บรักษาอาหารในตู้เย็นได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น
เทคนิคการเก็บผักผลไม้ เนื้อสัตว์ และอาหารเเห้งให้คงคุณภาพและปลอดภัย
การเก็บรักษาอาหารอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยยืดอายุของวัตถุดิบและป้องกันการเน่าเสีย โดยเทคนิคการเก็บรักษาจะแตกต่างกันไปตามประเภทของอาหาร
การเก็บผักและผลไม้: รักษาความสดและวิตามิน
เทคนิคการเก็บรักษาอาหารสดอย่างเหมาะสมมีดังนี้
- คัดเลือกส่วนที่ช้ำหรือเน่าออกก่อนนำเข้าตู้เย็น: ผักผลไม้ส่วนที่เน่านอกจากจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อแบคทีเรียและเชื้อราก่อโรคที่จะปนเปื้อนอาหารในตู้เย็นแล้ว ผักผลไม้ที่เน่ากำลังจะตาย (Senescence) บางชนิดสามารถปล่อยก๊าซเอทิลีน (Ethylene Gas) ฮอร์โมนที่เร่งให้ผักผลไม้ในบริเวณใกล้เคียง สุกเร็วขึ้น หรือ หายใจและคายน้ำเร็วขึ้น ทำให้เหี่ยวและตายเร็วขึ้นได้
- ล้างเท่าที่ใช้: หลีกเลี่ยงการล้างผักผลไม้ทั้งหมดก่อนนำเข้าตู้เย็น เพราะความชื้นจะทำให้อาหารเน่าเสียเร็วขึ้น หากต้องการจะล้างทำความสะอาดก่อนเก็บเข้าตู้เย็นจะต้องผึ่งให้แห้ง เก็บใส่ภาชนะที่รองด้วยผ้าขาวบางหรือกระดาษอเนกประสงค์ (กระดาษทิชชูสำหรับอาหาร) เพื่อดูดซับความชื้นส่วนเกินก่อนนำใส่ถุงหรือภาชนะปิดฝามิดชิด เพราะความชื้นที่ตกค้างจะทำให้เกิดการเน่าเสียได้ง่าย (ผศ.ดร.นัฐพล ตั้งสุภูมิ, 2018)
- หั่นเท่าที่จำเป็น: การหั่นผักผลไม้เตรียมไว้เป็นสัดส่วนแล้วนำเข้าตู้เย็นเพื่อความสะดวกในการหยิบมาใช้ ทำให้ผักผลไม้เสียเร็วขึ้น เนื่องจากหัวใจสำคัญของการเก็บรักษาความสดใหม่ของผักผลไม้คือ การรักษาสภาพเซลล์ของพืชให้สมบูรณ์ที่สุด การหั่นผักผลไม้จะส่งผลให้เซลล์ของผักผลไม้ถูกตัด สูญเสียความชื้น สูญเสียสารอาหาร เพิ่มโอกาสการปนเปื้อนของเชื้อโรค และเซลล์ที่บาดเจ็บจะเร่งให้ผักผลไม้หายใจและคายน้ำเร็วขึ้นจึงเน่าเสียและเหี่ยวตายเร็วขึ้น ดังนั้นควรหั่นเตรียมไว้เท่าที่จำเป็นหรือคาดการณ์ได้ และใช้มีดที่มีความคมเพื่อลดความเสียหายของเซลล์พืช
- แยกจัดเก็บผลไม้กลุ่ม C-fruit จากผักผลไม้อื่น: ผลไม้กลุ่ม Climacteric fruit หรือ C-fruit เช่น กล้วย แอปเปิล มะม่วง ทุเรียน สามารถสร้างก๊าซเอทิลีน (Ethylene Gas) ขึ้นตามธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่พืชกำลังเจริญเติบโตเต็มที่หรือในช่วงที่ผลไม้กำลังจะสุก เอทิลีนมีคุณสมบัติพิเศษคือสามารถแพร่กระจายไปในอากาศได้ง่าย เมื่อผลไม้ชนิดหนึ่งปล่อยเอทิลีนออกมา ก๊าซนี้จะไปกระตุ้นให้ผลไม้ที่อยู่ใกล้เคียงเริ่มกระบวนการสุกตามไปด้วย นี่คือสาเหตุว่าทำไมการเก็บผลไม้ที่สุกงอมแล้วไว้ใกล้ ๆ กับผลไม้ที่ยังดิบอยู่จึงทำให้ผลไม้ดิบนั้นสุกเร็วขึ้น
แต่ในกรณีที่อยากจะยืดอายุผักผลไม้เอทิลีนคือสิ่งน่ากลัว โดยเฉพาะกับผักผลไม้ที่ไวต่อก๊าซเอทิลีน เพราะเอทิลีนนอกจากจะเร่งให้ผักผลไม้หายใจเร็วขึ้น คายน้ำเร็วขึ้น ทำให้เหี่ยวและตายเร็วขึ้นแล้วยังโน้มนำให้เกิดความผิดปกติทางกายภาพ (Physiological Disorder) เช่น ดอกบรอกโคลีเป็นสีเหลืองและร่วง แอปเปิลมีเนื้อทรายไม่กรอบ ในกรณีที่ไม่สามารถจัดการเอทิลีนในตู้เย็นหรือห้องเย็นที่จัดเก็บผักผลไม้รวมกัน สามารถใช้
ซองดูดเอทิลีน ที่เป็น Active Packaging เลือกดูดเฉพาะเอทิลีน กำจัดเอทิลีนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อหยุดผลกระทบที่ไม่ต้องการจากเอทิลีนและยืดอายุผักผลไม้สดได้
- ใช้ช่องแช่ผัก (Crisper Drawer) (ถ้ามี): ช่องนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับผักและผลไม้โดยเฉพาะ โดยคุณสามารถปรับระดับความชื้น (Humidity Control) ได้ตามความเหมาะสม
- การเก็บผักและผลไม้ในช่องแข็ง: หลังจากที่เตรียมผักและผลไม้ด้วยการทำความสะอาด หั่นเป็นชิ้นและเช็ดให้แห้งสนิทแล้ว สามารถแช่แข็งผลไม้ได้เลย แต่สำหรับผักโดยเฉพาะผักใบเขียวควรทำการลวก (Blanch) ในน้ำเดือดนาน 1-3 นาที (ขึ้นกับชนิดของผัก) ก่อนนำไปน็อกน้ำเย็น สะเด็ดให้แห้งก่อนนำแช่แข็ง เพื่อเป็นการหยุดการทำงานของเอนไซม์ที่ทำให้ผักเปลี่ยนสีและทำความสะอาดฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางส่วนที่อาจปนเปื้อนมา ทำให้ผักสะอาดและปลอดภัยมากขึ้น
การเก็บรักษาเนื้อสัตว์: ป้องกันการปนเปื้อนและยืดอายุ
สาเหตุการเน่าเสียของเนื้อสัตว์ เกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ปฏิกิริยาทางเคมีได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของสี (Myoglobin Oxidation) และการเหม็นหืนของไขมัน (Lipid Oxidation) หรือการย่อยสลายโปรตีนโดยเอนไซม์ Proteolytic Enzyme จากตัวเนื้อสัตว์เอง ทำให้เนื้อสัตว์เน่าเสียได้ง่าย เคล็ดลับง่าย ๆ ในการยืดอายุ ทำได้ดังนี้:
- ควรเลือกซื้อเนื้อสัตว์เป็นชิ้นขนาดใหญ่: ไม่ควรซื้อเนื้อสัตว์บดจากร้านค้า แม้ทางร้านจะบดให้ใหม่ก็ตาม ทั้งนี้เพราะพื้นที่ผิวที่เพิ่มขึ้นจากการตัดสับหรือบด นอกจากจะมีเชื้อจุลินทรีย์ทั้งที่ทำให้เน่าเสียและก่อโรคปนเปื้อนติดมาจำนวนมากแล้ว +การบดทำให้เซลล์เนื้อสัตว์ถูกทำลายส่งผลให้สูญเสียรสชาติ เนื้อสัมผัส และคุณค่าทางโภชนาการได้
- การเตรียมเนื้อสัตว์เข้าตู้เย็น/แช่แข็ง:
- เมื่อนำมาล้างทำความสะอาดเช็ดให้แห้งแล้ว ให้นำไปแช่ตู้เย็นหรือช่องฟรีซทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องนานเกินไป
- สามารถหั่นเป็นชิ้น ขนาด 100-200 กรัม ก่อนนำไปแช่แข็ง เพื่อให้สะดวกต่อการนำมาละลายใช้ และป้องกันการเกิดปัญหา Hot Spot ซึ่งเป็นบริเวณที่ละลายก่อน จึงเป็นบริเวณที่ทำให้จุลินทรีย์สามารถเจริญเติบโตได้แม้จุดกึ่งกลางของเนื้อสัตว์ยังเป็นน้ำแข็งอยู่
- เก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสม:
- ตู้เย็นช่องธรรมดา: สำหรับเนื้อสัตว์ที่จะใช้ภายใน 1-2 วัน ควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิ 4°C หรือต่ำกว่า โดยวางไว้ในส่วนที่เย็นที่สุดของตู้เย็น
- ช่องแช่แข็ง: สำหรับการเก็บรักษาอาหารระยะยาว ควรเก็บที่อุณหภูมิ -18°C หรือต่ำกว่า การเก็บในช่องแช่แข็งจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้สมบูรณ์
การเก็บรักษาอาหารเเห้ง
การเก็บอาหารแห้งในตู้เย็นเป็นวิธีที่ช่วยยืดอายุอาหารให้คงคุณภาพและใช้งานได้นานขึ้น โดยมีเทคนิคดังนี้
-
- ตากเเห้งให้สนิทก่อนนำเข้าตู้เย็น อ่านข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการทำเเห้ง ได้ที่ การเก็บรักษาอาหารแห้ง
- เลือกภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ที่สามารถป้องกันความชื้น เเละ/หรือออกซิเจนได้ เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้อาหารสัมผัสกับความชื้นเเละอากาศในตู้เย็นโดยตรง
- เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาให้ยาวนานมากยิ่งขึ้น สามารถใช้เทคโนโลยี Active Packaging เข้ามาช่วยได้
- ซองกันชื้น (Silica Gel) : เหมาะสำหรับอาหารแห้งทั่วไป ซองกันชื้นจะช่วยดูดซับความชื้นที่อาจหลงเหลืออยู่ในภาชนะ ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้อาหารเกิดเชื้อราได้เป็นอย่างดี
- ซองดูดออกซิเจน (Oxygen Absorber): เหมาะสำหรับอาหารแห้งที่มีไขมันสูง เช่น ถั่วบางชนิด เนื้อสัตว์อบเเห้ง ซองดูดออกซิเจนจะช่วยลดปริมาณออกซิเจนในบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้อาหารเกิดการเหม็นหืนได้ง่ายและรวดเร็ว โดยเฉพาะในอาหารที่มีความชื้นต่ำมาก ๆ
อาหารปรุงสำเร็จ วิธีการเก็บรักษาอย่างปลอดภัย
อาหารปรุงสำเร็จเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ชีวิตในแต่ละวันสะดวกสบายขึ้น แต่หลายคนมักมีคำถามเกี่ยวกับการเก็บรักษาและการอุ่นอาหาร โดยเฉพาะคำถามยอดฮิตที่ว่า “อาหารปรุงสําเร็จ ควรอุ่นทุกกี่ชั่วโมง” หรือ “อาหารควรอุ่นทุกกี่ชั่วโมง” คำตอบสั้น ๆ คือ ควรหลีกเลี่ยงการอุ่นอาหารซ้ำบ่อย ๆ ไม่ได้เป็นเพราะเรื่องของคุณภาพหรือรสชาติที่ลดลงแต่เป็นเรื่องของความปลอดภัยจากเชื้อโรค
อันตรายจากโซนอุณหภูมิอันตราย (Temperature Danger Zone)
การเก็บรักษาอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการเก็บรักษาอาหารสด หรือ การเก็บรักษาอาหารปรุงสำเร็จ เพื่อป้องกันการเน่าเสียของอาหาร ไม่ควรเก็บในอุณหภูมิระหว่าง 4 – 60 °C ซึ่งเป็นโซนอุณหภูมิอันตราย (Temperature Danger Zone) เพราะเป็นช่วงที่จุลินทรีย์ก่อโรค (Pathogens) เจริญเติบโตได้ดีมาก
ดังนั้นหากจะเก็บรักษาด้วยความเย็น ให้รีบทำอาหารให้เย็นแล้วเก็บที่ต่ำกว่า 4 °C หากจะอุ่นร้อนต้องอุ่นร้อนให้ทั่วถึง (โดยเฉพาะอุณหภูมิที่แกนกลางของอาหาร) โดยใช้อุณหภูมิสูงกว่า 60 °C
อันตรายจากการอุ่นอาหารที่ไม่เหมาะสม
การเก็บอาหารแบบอุ่นตลอดเวลา เช่น แกงหม้อใหญ่ที่เปิดไฟหรี่ ๆ ไว้ในตลาด ขนมจีบที่นึ่งรอคนซื้อทั้งวัน หรือข้าวในหม้อหุงข้าวที่กดปุ่ม “อุ่น” ค้างไว้ทั้งวัน หากอุณหภูมิต่ำกว่า 60 °C ถือเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะเป็นการ “เลี้ยงเชื้อ” ก่อโรคบางชนิดโดยไม่รู้ตัว หนึ่งในเชื้อโรคที่น่ากลัวคือแบคทีเรีย Staphylococcus aureus ซึ่งพบได้ทั่วไปบนผิวหนังของเรา เมื่ออาหารปนเปื้อนเชื้อนี้ แบคทีเรียจะสร้างสารพิษสแตฟิโลค็อกคัส (Staph toxin) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคอาหารเป็นพิษ สารพิษชนิดนี้จะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และปวดท้องอย่างรวดเร็วหลังรับประทานอาหาร ซึ่งจะเริ่มภายในประมาณ 30 นาทีถึง 8 ชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหารที่ปนเปื้อน สิ่งที่อันตรายที่สุดคือสารพิษนี้ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และทนความร้อนสูงมาก การนำอาหารไปอุ่นซ้ำอีกครั้งไม่สามารถทำลายสารพิษนี้ได้ ต้องใช้ความร้อนสูงกว่าน้ำเดือดและความดันสูงมาก (เช่น 121 องศาเซลเซียส นานกว่า 20 นาที) ถึงจะสามารถทำลายได้
ดังนั้น ควรการเลือกซื้ออาหารพร้อมรับประทานจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและสังเกตวิธีการเก็บรักษาอาหารปรุงสำเร็จของร้านค้าจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากสารพิษที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
หลักการเก็บอาหารในตู้เย็นให้มีประสิทธิภาพ
การเก็บอาหารในตู้เย็นอย่างถูกวิธีไม่เพียงแต่ช่วยยืดอายุของอาหารเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้อีกด้วย มาดูกันว่าวิธีการดูแลรักษาตู้เย็น ที่เก็บอาหาร เพื่ออาหารที่เก็บได้นานที่สุดมีอะไรบ้าง
การรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสม
อุณหภูมิที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญของการเก็บอาหารในตู้เย็น ช่องแช่เย็น ต้องเย็นต่ำกว่า 4 °C และ ช่องแช่แข็ง ต้องต่ำกว่า -18 °Cอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ตู้เย็นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลองตรวจสอบตามลิสต์ด้านล่างนี้:
- การจัดอาหาร: ไม่ควรยัดอาหารจนแน่นตู้เย็น เพราะจะขวางทางลมเย็น ทำให้อุณหภูมิไม่ทั่วถึง
- รอให้อาหารเย็นก่อนนำเข้าตู้เย็น: การนำอาหารที่ยังร้อนอยู่เข้าไปทันทีจะทำให้อุณหภูมิภายในตู้เย็นสูงขึ้น และทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนัก
- ไม่เปิดประตูตู้เย็นบ่อย ๆ หรือค้างไว้ และตรวจสอบขอบยางประตูว่าปิดได้แน่นดี เพื่อป้องกันไม่ให้ความเย็นรั่วไหลออกไป
- เเกงถุงควรเเกะเอาอากาศออกก่อนเข้าตู้เย็น เพราะอากาศในถุงจะเป็นฉนวนทำให้อาหารในถุงเย็นช้า
ทำความสะอาดรักษาความสะอาด
การรักษาความสะอาดตู้เย็นที่เก็บอาหารเป็นสิ่งสำคัญที่จะลดการปนเปื้อนข้ามและการแพร่กระจายของจุลินทรีย์ในตู้เย็น ซึ่งจะช่วยให้อาหารที่เราเก็บไว้ปลอดภัยและสดใหม่นานขึ้น
หลักการจัดอาหาร FIFO และ FEFO
การเก็บรักษาอาหารในตู้เย็นอย่างมีระบบไม่เพียงแต่ช่วยให้ตู้เย็นเป็นระเบียบ แต่ยังช่วยลดปัญหาอาหารหมดอายุและเน่าเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลักการง่าย ๆ ที่นิยมใช้กันคือ FIFO (First-In, First-Out) หรือ FEFO (First Expired, First Out)
การจัดการอาหารแบบ FIFO คือระบบการจัดเก็บและหมุนเวียนอาหาร โดยสินค้าที่เข้ามาใหม่จะถูกเก็บไว้ด้านหลัง ทำให้สินค้าที่เข้ามาถึงก่อนจะถูกนำไปใช้ก่อน ซึ่งช่วยลดการสูญเสียอาหารที่อาจหมดอายุหรือเสื่อมสภาพได้ ในกรณีที่เป็นอาหารที่มีฉลากระบุวันผลิตหรือวันหมดอายุ สามารถใช้หลักการ FEFO ได้ การติดฉลากระบุวันที่ (เช่น วันที่ซื้อ บรรจุ หมดอายุ หรือ ควรบริโภค) ก่อนจัดเรียงเข้าตู้เย็น สามารถช่วยในการบริหารจัดการสต๊อกอาหารในตู้เย็นได้ง่าย ๆ แต่มีประสิทธิภาพ
Tips การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์สำหรับเก็บอาหารแช่แข็ง
คุณสมบัติของบรรจุภัณฑ์ที่ดีสำหรับการเก็บรักษาอาหารแช่แข็ง ได้แก่
- ทนอุณหภูมิต่ำ: ต้องทนความเย็นจัดได้ดี ทนต่อการฉีกขาด การกระแทก และการเสียดสีขณะจัดเก็บหรือขนส่งได้
- Food Grade: ทำจากวัสดุที่ปลอดภัยสำหรับการสัมผัสอาหาร ไม่ปล่อยสารเคมีที่เป็นอันตรายออกมา
- ปิดผนึกได้แน่นสนิท: ช่วยป้องกันการปนเปื้อนจากกลิ่นภายนอก และรักษาความสดใหม่ของอาหารภายใน
- ป้องกันความชื้นและอากาศ: ต้องสามารถป้องกันไม่ให้น้ำและอากาศเข้าออกได้ เพื่อป้องกัน “Freezer Burn” ความเสียหายจากการแช่แข็ง เป็นอาการที่อาหารแห้งและมีสีซีดจางจากการสูญเสียความชื้น ในกรณีเนื้อสัตว์จะเกิดกลิ่นหืนและเนื้อสัมผัสเปลี่ยนไป
- การบรรจุแบบสุญญากาศ: Vacuum Packaging ที่แนบสนิทไปกับผิวอาหาร หรือที่เรียกว่า “Skin-Tight Packaging” ถุงแวคคั่มเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา Freezer Burn เพราะช่วยขจัดอากาศลดช่องว่างเหนืออาหารภายในบรรจุภัณฑ์ (Headspace) ที่น้ำแข็งสามารถระเหิดกลายเป็น Freezer Burn ได้
การเก็บรักษาอาหาร ช่วยทำให้อาหารสดใหม่และปลอดภัย
การเรียนรู้และนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปใช้ จะช่วยให้คุณสามารถจัดการอาหารในครัวเรือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการสูญเสีย และมั่นใจได้ว่าอาหารที่คุณบริโภคนั้นสดใหม่และปลอดภัยอยู่เสมอ เจนจรัสกรุ๊ป เข้าใจถึงความสำคัญของการเก็บรักษาอาหารเพื่อคุณภาพและความปลอดภัย หากคุณกำลังมองหาโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยยืดอายุอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นซองดูดออกซิเจน BestKept ซองดูดซับเอทิลีน BeFresh สามารถติดต่อเจนจรัสกรุ๊ปเพื่อสอบถามเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้เลย
เขียนโดย
ดร.ธีรนันท์ เจนจรัสสกุล
อดีตรองศาสตราจารย์ ภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เอกสารอ้างอิง
ผศ.ดร.นัฐพล ตั้งสุภูมิ, 2018. “ใช้ตู้เย็นผิดวิธี เป็นเหตุเพาะพันธุ์เชื้อโรคจริงหรือ?”. รายการรู้เท่ารู้ทัน. ทางสถานีThai PBS. https://www.facebook.com/share/v/19mEzEuEjc/
รศ.ดร.ธีรนันท์ เจนจรัสสกุล, 2020. “Packaging for Extending Shelf Life”. Special Food Talks 2020 on Food Processing: Preservation Technology Series เทคโนโลยีการแปรรูปและถนอมอาหารเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ยุควิกฤติเศรษฐกิจและโควิด-19. ทาง Food Innopolis เมืองนวัตกรรมอาหาร-FI Channel. https://www.youtube.com/watch?v=_tBygz67kDk
